top of page

ตำนานโหราศาสตร์จีนในประวัติศาสตร์

โหราศาสตร์จีนในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

ตำนานโหราศาสตร์จีน

โหราศาสตร์จีนไม่ใช่แค่เรื่องของการทำนายดวงชะตา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ฝังรากลึกในสังคมจีนมานับพันปี ตั้งแต่การคิดค้นปฏิทินจันทรคติหรือ "หนงลี่" (农历) ในยุคราชวงศ์เซี่ย จนถึงระบบปีนักษัตรหรือ "ซื่อเอ้อร์เซิงเซียว" (十二生肖) ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี โหราศาสตร์จีนได้หล่อหลอมความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติในหลากหลายแง่มุมของสังคม ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา การแพทย์ การเมือง หรือแม้แต่การออกแบบบ้านเรือน


บทความนี้จะพาคุณท่องไปในโลกของโหราศาสตร์จีน ผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง เราจะสำรวจตำนานของคัมภีร์อี้จิง (易经) ทฤษฎีห้าธาตุหรือ "อู่สิง" (五行) และดูว่าโหราศาสตร์ในชีวิตประจำวันของชาวจีน มีเรื่องเล่าตำนานอย่างไรบ้าง ผมจะแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและตำนานที่เล่าขานกันมา เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมโหราศาสตร์จีนจึงยังคงมีอิทธิพลในสังคมจีนและเอเชียตะวันออกจนถึงทุกวันนี้


1. ตำนานการกำเนิดปฏิทินจีนและจักรราศี


ในสมัยโบราณ เล่ากันว่าจักรพรรดิหวงตี้ (黄帝 Huángdì) ผู้เป็นบรรพบุรุษแห่งอารยธรรมจีน ทรงพบว่าการไม่มีระบบปฏิทินที่แน่นอนทำให้การเพาะปลูกและการปกครองเป็นไปอย่างยากลำบาก พระองค์จึงมอบหมายให้ขุนนางคนสำคัญสองคน คือ ต้าฉวน (大淳 Dà Chún) และ หลี่ซา (隶杀 Lì Shā) คิดค้นระบบปฏิทินขึ้น


ต้าฉวนและหลี่ซาใช้เวลาหลายปีในการสังเกตการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถสร้างระบบปฏิทินที่ผสมผสานระหว่างจันทรคติและสุริยคติได้สำเร็จ นอกจากนี้ พวกเขายังได้แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วน ตามการโคจรของดาวพฤหัสบดี ซึ่งกลายมาเป็นที่มาของจักรราศีทั้ง 12 ในเวลาต่อมา


จักรพรรดิหวงตี้ทรงพอพระทัยมาก และประกาศใช้ปฏิทินใหม่นี้ทั่วแผ่นดิน ทำให้การเพาะปลูกและการบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: แม้ว่าตำนานนี้จะเป็นที่รู้จักกันดีในวัฒนธรรมจีน แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันเรื่องราวนี้ อย่างไรก็ตาม ปฏิทินจีนมีพัฒนาการมายาวนาน โดยมีการใช้ปฏิทินจันทรคติตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซี่ย (夏朝 Xià cháo) ประมาณ 2070-1600 ปีก่อนคริสตกาล ปฏิทินนี้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์จีน และมีการปรับปรุงครั้งสำคัญในสมัยราชวงศ์ฮั่น

2. ตำนานกำเนิดสิบสองนักษัตร


เล่ากันว่า วันหนึ่ง องค์เทพจักรพรรดิ์หยก (玉皇大帝 Yù Huáng Dàdì) ต้องการจะจัดระเบียบเวลาในโลกมนุษย์ พระองค์จึงประกาศว่าจะมีการแข่งขันวิ่งข้ามแม่น้ำสวรรค์ สัตว์ 12 ชนิดแรกที่วิ่งถึงฝั่งจะได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของปีต่างๆ ในรอบ 12 ปี


เช้าวันแข่งขัน สัตว์มากมายมารวมตัวกันที่ริมฝั่ง หนูซึ่งตัวเล็กและว่ายน้ำไม่เก่ง จึงขอโดยสารบนหลังวัวที่แข็งแรง วัวใจดีตกลง ขณะที่วัวกำลังจะถึงฝั่งเป็นตัวแรก หนูก็กระโดดข้ามศีรษะวัวไปถึงฝั่งก่อน ตามด้วยวัว เสือ กระต่าย มังกร งู ม้า แพะ ลิง ไก่ สุนัข และสุดท้ายคือหมู


องค์เทพจักรพรรดิ์หยกทรงประทับใจในความฉลาดของหนูและความอดทนของสัตว์ทั้งหมด จึงกำหนดให้สัตว์ทั้ง 12 ชนิดนี้เป็นตัวแทนของปีต่างๆ ตามลำดับที่พวกมันมาถึง นับแต่นั้นมา ชาวจีนก็เริ่มใช้ระบบนักษัตรทั้ง 12 นี้ในการนับปีและทำนายโชคชะตา


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: ตำนานนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่แพร่หลายในวัฒนธรรมจีน แต่ไม่ใช่ที่มาที่แท้จริงของระบบสิบสองนักษัตร ในความเป็นจริง ระบบนี้เริ่มปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西汉 Xī Hàn) ประมาณ 206 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 9 และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ถัง

3. ตำนานกำเนิดคัมภีร์อี้จิง (易经 Yìjīng)


ตามตำนานเล่าว่า ฝูซี (伏羲 Fúxī) บรรพบุรุษในตำนานของชาวจีน เป็นผู้คิดค้นระบบเส้นขีดที่ใช้ในการทำนายด้วยคัมภีร์อี้จิง วันหนึ่ง ขณะที่ฝูซีกำลังนั่งริมแม่น้ำเหลือง (黄河 Huáng Hé) เขาสังเกตเห็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ (神龟 shén guī) ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ


บนกระดองของเต่ามีลวดลายประหลาดที่ประกอบด้วยจุดและเส้น ฟูซีใช้เวลาหลายวันในการศึกษาลวดลายนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามันเป็นภาพสะท้อนของกฎธรรมชาติและจักรวาล เขาจึงสร้างระบบสัญลักษณ์ที่เรียกว่า "ปากัว" (八卦 bāguà) หรือแปดไตรแกรมขึ้น ซึ่งประกอบด้วยเส้นทึบ (阳 yáng) และเส้นประ (阴 yīn) ในรูปแบบต่างๆ


ฝูซีสอนระบบนี้ให้แก่ผู้คน และมันก็ถูกพัฒนาต่อมาเป็นคัมภีร์อี้จิงที่ใช้ในการทำนายโชคชะตาและทำความเข้าใจกฎของจักรวาล คัมภีร์นี้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปรัชญาและวัฒนธรรมจีนในเวลาต่อมา


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: แม้ว่าตำนานนี้จะเป็นที่รู้จักกันดี แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าฝูซีเป็นผู้คิดค้นคัมภีร์อี้จิง ในความเป็นจริง คัมภีร์อี้จิงมีประวัติยาวนาน โดยส่วนที่เก่าแก่ที่สุดอาจย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (西周 Xī Zhōu) ประมาณ 1000-750 ปีก่อนคริสตกาล และมีการพัฒนาและตีความเพิ่มเติมในยุคต่อๆ มา คัมภีร์นี้ได้รับการพัฒนาและตีความเพิ่มเติมในยุคต่อๆ มา และมีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาและวัฒนธรรมจีน

ตำนานการใช้โหราศาสตร์ในการศึก

4. ตำนานการใช้โหราศาสตร์ในการศึก


ในยุคสามก๊ก มีเรื่องเล่าว่าจูเก๋อเหลียง(ขงเบ้ง) (諸葛亮 Zhūgě Liàng) นักยุทธศาสตร์ผู้เลื่องชื่อแห่งวรรณกรรมสามก๊ก ได้ใช้วิชาโหราศาสตร์ในการวางแผนรบหลายครั้ง


ครั้งหนึ่ง ก่อนการศึกใหญ่ ขงเบ้งได้ทำนายดวงชะตาของทั้งสองฝ่าย เขาพบว่าดวงของแคว้นกำลังตกอับ แต่มีดาวมังกรโคจรเข้ามาในตำแหน่งที่เป็นมงคล จึงวางแผนให้กองทัพตั้งรับอยู่บนเนินเขาที่มีรูปร่างคล้ายมังกร


เมื่อถึงวันรบ ทัพศัตรูบุกเข้ามาอย่างหนัก แต่ด้วยตำแหน่งที่ได้เปรียบและกำลังใจที่สูงขึ้นจากการรู้ว่าตนอยู่ในตำแหน่งมงคล ทหารก็สามารถต้านทานการโจมตีได้อย่างเหนียวแน่น ในที่สุด ทัพศัตรูก็ต้องล่าถอยไป ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของจูเก๋อเหลียง(ขงเบ้ง) ในฐานะนักพยากรณ์และนักยุทธศาสตร์เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: แม้ว่าจูเก๋อเหลียง(ขงเบ้ง)เป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงในฐานะนักยุทธศาสตร์ แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนว่าเขาใช้โหราศาสตร์ในการวางแผนรบ อย่างไรก็ตาม มีการบันทึกการใช้โหราศาสตร์ในการตัดสินใจทางการเมืองและการทหารตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ
5 ธาตุ

5. ตำนานการกำเนิดทฤษฎีห้าธาตุ (五行 wǔxíng)


ในสมัยโบราณ มีปราชญ์จีนนามว่า โจวเหยี่ยน (邹衍 Zōu Yǎn) ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายสิบปีในการศึกษาธรรมชาติและจักรวาล วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาสูง เขาได้รับนิมิตจากเทพเจ้าแห่งดวงดาว


ในนิมิตนั้น เทพเจ้าได้เผยให้เขาเห็นถึงความลับของจักรวาล แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งในโลกล้วนประกอบขึ้นจากธาตุพื้นฐาน 5 อย่าง ได้แก่ ไม้ (木 mù), ไฟ (火 huǒ), ดิน (土 tǔ), ทอง (金 jīn), และน้ำ (水 shuǐ) ธาตุทั้งห้านี้มีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่เรียกว่า "การเกื้อหนุน" และ "การข่มกัน"


โจวเหยี่ยนตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนาทฤษฎีนี้ให้สมบูรณ์ เขาอธิบายว่าทุกสิ่งในจักรวาล รวมถึงฤดูกาล ทิศทาง อวัยวะในร่างกาย และแม้แต่อารมณ์ของมนุษย์ ล้วนเชื่อมโยงกับธาตุทั้งห้านี้


ทฤษฎีของเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายศาสตร์ ทั้งการแพทย์แผนจีน การทำนายโชคชะตา และแม้แต่การปกครองบ้านเมือง โดยจักรพรรดิหลายพระองค์ได้นำทฤษฎีนี้มาใช้ในการกำหนดนโยบายและพิธีกรรมต่างๆ


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: แม้ว่าโจวเหยี่ยนเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีห้าธาตุ แต่ทฤษฎีนี้มีพัฒนาการมายาวนานและแนวคิดเรื่องห้าธาตุมีรากฐานมาจากปรัชญาจีนโบราณ โดยปรากฏในงานเขียนตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว และถูกพัฒนาเป็นระบบที่ซับซ้อนในสมัยราชวงศ์ฮั่น[4] โจวเหยี่ยน (邹衍 Zōu Yǎn) เป็นนักปรัชญาที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีนี้ในช่วงยุคจ้านกั๋ว (战国时代 Zhànguó shídài)  ทฤษฎีนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมและวิทยาการจีนในหลายด้าน

ตำนานโหราศาสตร์ กับการแพทย์แผนจีน

6. ตำนานโหราศาสตร์กับการแพทย์แผนจีน


ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีแพทย์ผู้เลื่องชื่อนามว่า ฮัวโต๋ (华佗 Huà Tuó) ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรค แต่ยังมีความรู้ลึกซึ้งในด้านโหราศาสตร์อีกด้วย


วันหนึ่ง มีขุนนางผู้หนึ่งมาหาฮัวโต๋ด้วยอาการป่วยที่แพทย์คนอื่นๆ ไม่สามารถรักษาได้ หัวถัวจึงตรวจดวงชะตาของขุนนางผู้นี้ และพบว่าดาวแห่งโรคภัยกำลังโคจรเข้าสู่ตำแหน่งที่เป็นอัปมงคล


ฮัวโต๋จึงบอกกับขุนนางว่า "ท่านมิได้ป่วยด้วยโรคทางกาย แต่เป็นเพราะดวงชะตากำลังตกต่ำ หากท่านทำบุญใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ดวงชะตาของท่านจะพลิกฟื้น และอาการป่วยก็จะหายไปเอง"


ขุนนางผู้นั้นทำตามคำแนะนำของฮัวโต๋ โดยบริจาคทรัพย์จำนวนมากให้แก่คนยากไร้และวัดวาอาราม ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้น อาการป่วยของเขาก็ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ และหายขาดในเวลาไม่นาน


เรื่องราวนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในความเชื่อมโยงระหว่างโหราศาสตร์และการแพทย์มากขึ้น นับแต่นั้นมา แพทย์จีนหลายคนก็เริ่มศึกษาวิชาโหราศาสตร์ควบคู่ไปกับการแพทย์ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรค


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: ฮัวโต๋เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงจริงในประวัติศาสตร์จีน แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเขาใช้โหราศาสตร์ในการรักษาโรค อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์จีน มีการผสมผสานระหว่างแนวคิดทางโหราศาสตร์และการแพทย์จริง โดยเฉพาะในด้านการเลือกเวลาที่เหมาะสมสำหรับการรักษา และการอธิบายสาเหตุของโรคตามหลักห้าธาตุ


7. ตำนานการทำนายฝนด้วยโหราศาสตร์


ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีโหราจารย์ผู้หนึ่งนามว่า เซี่ยซงเหลียง (谢松良 Xiè Sōngliáng) ผู้มีความเชี่ยวชาญในการทำนายสภาพอากาศโดยใช้โหราศาสตร์ ในปีหนึ่งเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ ทำให้พืชผลเสียหายและประชาชนเดือดร้อนทั่วหล้า


จักรพรรดิทรงเรียกเซี่ยซงเหลียงเข้าเฝ้าและรับสั่งให้ทำนายว่าเมื่อใดฝนจะตก เซี่ยซงเหลียงจึงทำการคำนวณดวงดาวอย่างละเอียด เขาพบว่าดาวน้ำเพิ่งโคจรเข้าสู่ตำแหน่งที่เป็นมงคล แต่ยังถูกดาวไฟบดบังอยู่


เซี่ยซงเหลียงทูลจักรพรรดิว่า "หากพระองค์ทรงทำพิธีขอฝนที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออกในอีกเจ็ดวัน ฝนจะตกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ"


จักรพรรดิทรงทำตามคำแนะนำ และแล้วในวันที่เจ็ด ขณะที่พิธีกรรมกำลังดำเนินไป ท้องฟ้าก็มืดครึ้มและฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทำให้ความแห้งแล้งสิ้นสุดลง


นับแต่นั้นมา การทำนายสภาพอากาศด้วยโหราศาสตร์ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถูกนำมาใช้ในการวางแผนเพาะปลูกและกิจกรรมต่างๆ ของชาวจีน


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: แม้ว่าตำนานนี้จะเป็นเรื่องเล่า แต่ในประวัติศาสตร์จีนมีการใช้โหราศาสตร์ในการทำนายสภาพอากาศและฤดูกาลจริง โดยเฉพาะในด้านการเกษตร อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้ไม่ได้มีความแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ แต่อาจมีประโยชน์ในแง่ของการสังเกตรูปแบบธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล


8. ตำนานดาวนพเคราะห์กับชะตาชีวิต


ในสมัยราชวงศ์ถัง มีโหราจารย์ผู้เลื่องชื่อนามว่า หลี่ฉุนเฟิง (李淳风 Lǐ Chúnfēng) ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการดูดวงชะตา วันหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมาขอให้หลี่ชุนเฟิงทำนายชะตาชีวิตให้


หลี่ฉุนเฟิงพิจารณาตำแหน่งดาวในวันเกิดของชายหนุ่มอย่างละเอียด และพบว่าดาวพฤหัสบดี (木星 Mùxīng) ซึ่งเป็นดาวแห่งโชคลาภ กำลังโคจรเข้าสู่ตำแหน่งที่สำคัญในดวงชะตาของเขา แต่ในขณะเดียวกัน ดาวเสาร์ (土星 Tǔxīng) ซึ่งเป็นดาวแห่งอุปสรรค ก็กำลังเข้ามาใกล้เช่นกัน


หลี่ฉุนเฟิงจึงทำนายว่า "ในอีกสามปีข้างหน้า ท่านจะพบกับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต แต่จะต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ด้วย หากท่านสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปได้ ชีวิตของท่านจะรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"


ชายหนุ่มจดจำคำทำนายนี้ไว้ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงปีที่สาม เขาได้รับโอกาสให้เข้าร่วมการสอบขุนนาง แต่ในระหว่างการเดินทางไปสอบ เขาเกือบจะพลาดการสอบเพราะเกิดพายุใหญ่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ เขาสามารถฝ่าพายุมาถึงสถานที่สอบได้ทันเวลา


ผลปรากฏว่าเขาสอบได้คะแนนสูงสุดและได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางชั้นสูง นับแต่นั้นมา ชีวิตของเขาก็รุ่งเรืองตามคำทำนายของหลี่ชุนเฟิงทุกประการ


เรื่องราวนี้แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในพลังของดาวนพเคราะห์ที่มีต่อชะตาชีวิตมากขึ้น และการดูดวงโดยอ้างอิงตำแหน่งดาวนพเคราะห์ก็กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในสังคมจีน


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: หลี่ฉุนเฟิงเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจริงในสมัยราชวงศ์ถัง แม้ว่าเรื่องเล่านี้จะเป็นเพียงตำนาน แต่ในความเป็นจริง โหราศาสตร์จีนมีการใช้ตำแหน่งของดาวนพเคราะห์ในการทำนายชะตาชีวิตจริง โดยเฉพาะในระบบที่เรียกว่า จี๋เว่ยโต้วซู่ หรือ จี๋มุ้ย "紫微斗数" (Zǐwēi dǒu shù) ซึ่งพัฒนาขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งและยังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน

ตำนานโหราศาสตร์ในการเลือกคู่ครอง

9. ตำนานการใช้โหราศาสตร์ในการเลือกคู่ครอง


ในสมัยราชวงศ์หมิง มีธรรมเนียมการใช้โหราศาสตร์ในการเลือกคู่ครองที่แพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูง มีเรื่องเล่าว่า องค์หญิงเหวินเฉิง (文成公主 Wénchéng Gōngzhǔ) ผู้ซึ่งกำลังจะถูกส่งไปอภิเษกสมรสกับกษัตริย์แห่งทิเบต ทรงกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพระองค์อย่างมาก


ราชสำนักจึงเชิญโหราจารย์ชื่อดัง หวังซื่อเจิ้ง (王时正 Wáng Shízhèng) มาทำนายดวงชะตาของทั้งสองพระองค์ หวังซื่อเจิ้งใช้เวลาหลายวันในการคำนวณและพิจารณาดวงชะตาอย่างละเอียด


ในที่สุด เขาก็ทูลรายงานว่า "ดวงชะตาของทั้งสององค์นั้นเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม ดาวแห่งความรักของทั้งสองพระองค์โคจรมาพบกันในตำแหน่งที่เป็นมงคลยิ่ง นอกจากนี้ ยังมีดาวแห่งสันติภาพปรากฏในดวงของทั้งสอง ซึ่งหมายความว่าการอภิเษกสมรสครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสงบสุขระหว่างสองแผ่นดิน"


คำทำนายนี้ทำให้องค์หญิงเหวินเฉิงทรงคลายความกังวล และเสด็จไปอภิเษกสมรสด้วยความมั่นพระทัย ปรากฏว่าการอภิเษกสมรสครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม องค์หญิงเหวินเฉิงไม่เพียงแต่ทรงมีความสุขในชีวิตคู่ แต่ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างราชวงศ์หมิงและทิเบต นำมาซึ่งสันติภาพที่ยาวนานระหว่างสองดินแดน


เรื่องราวนี้ทำให้การใช้โหราศาสตร์ในการเลือกคู่ครองเป็นที่นิยมมากขึ้นในสังคมจีน โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและราชวงศ์ ซึ่งเชื่อว่าการเลือกคู่ครองที่ดวงชะตาเข้ากันได้จะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญรุ่งเรือง


**ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์**: องค์หญิงเหวินเฉิงเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ แต่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง ไม่ใช่ราชวงศ์หมิงตามที่เล่าในตำนาน อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของพระองค์กับกษัตริย์ทิเบตมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จริง ในแง่ของการใช้โหราศาสตร์ในการเลือกคู่ครอง แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้ในกรณีนี้ แต่ในวัฒนธรรมจีนมีการใช้โหราศาสตร์ในการพิจารณาความเข้ากันได้ของคู่สมรสจริง โดยเฉพาะการดูความเข้ากันของปีนักษัตรของทั้งสองฝ่าย ซึ่งยังคงเป็นที่นิยมในบางส่วนของสังคมจีนจนถึงปัจจุบัน

ตำนานและเรื่องเล่าเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันลึกซึ้งของโหราศาสตร์ที่มีต่อวัฒนธรรมและสังคมจีนในหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่การปกครองประเทศ การแพทย์ ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวอย่างการเลือกคู่ครอง แม้ว่าหลายเรื่องจะเป็นเพียงตำนาน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและค่านิยมของชาวจีนในอดีตได้เป็นอย่างดี

Comments


Single Post: Blog_Single_Post_Widget

Fengshui Articles & Contents 

บทความทั้งหมดนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ fengshuix หากท่านใดต้องการนำไปเผยแพร่ที่อื่น กรุณาติดต่ออย่างเป็นทางการก่อนนะครับ คุณสามารถเลือกหมวดหมู่ที่ต้องการ หรือกรอกข้อมูลที่ต้องการค้นหาในช่องด้านล่างได้เลยครับ

และพึงระลึกเสมอว่า บทความฮวงจุ้ย โหราศาสตร์ที่อยู่ใน Internet นั้น มีข้อจำกัดทางด้านภาษาและความเข้าใจของผู้อ่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเขียนบทความถ่ายทอดความรู้ได้เพียงระดับนึงเท่านั้น หากต้องการความรู้ เคล็ดลับ หรือเทคนิคขั้นสูงที่ซินแสร่ำเรียนศึกษา ท่านจำเป็นต้องติดต่อส่วนตัว หรือเข้ามาเรียนกับอาจารย์ด้วยตัวเองเท่านั้น และหวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านครับ

บทความอื่นๆล่าสุด

Tags

bottom of page