ในรัชสมัยอันรุ่งเรืองของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ 漢武帝 มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งที่เป็นทั้งตัวตลกและที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาด นามว่า "ตงฟางซัว" 東方朔 ชีวิตของเขาดำเนินไปในยุค 9 ทางฮวงจุ้ย ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองสูงสุดของราชวงศ์ฮั่น ตำนานของเขาได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนอย่างน่าทึ่ง
เริ่มต้นชีวิตในราชสำนัก: จดหมายที่กล้าหาญเกินใคร
"ข้าพระองค์ซัว กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้..."
จดหมายฉบับแรกที่ตงฟางซัวส่งถึงพระเจ้าฮั่นอู่ตี้เริ่มต้นอย่างน่าสนใจ เขาเล่าประวัติตนเองอย่างไม่เกรงใจ:
"อายุ 13 เริ่มเรียนหนังสือ ใช้เวลาสามฤดูหนาวจึงรู้ประวัติศาสตร์พอใช้ อายุ 15 เรียนดาบ อายุ 16 เรียนซือจิง ท่องจำได้ 220,000 คำ อายุ 19 เรียนตำราพิชัยสงครามของซุนอู่ ท่องจำได้อีก 220,000 คำ รวมทั้งหมดข้าพระองค์ซัว ท่องจำได้ 440,000 คำ"
แต่ที่ทำให้จดหมายฉบับนี้โดดเด่นคือการบรรยายตัวเองอย่างเกินจริง:
"ข้าพระองค์ซัว อายุ 22 สูง 9 ฉื่อ 3 ชุ่น ตาดั่งไข่มุก ฟันดั่งเปลือกหอยเรียงราย กล้าดั่งเมิ่งเปิ่น ว่องไวดั่งชิงจี๋ ซื่อสัตย์ดั่งเป่าซู จริงใจดั่งเว่ยเซิง เช่นนี้สมควรเป็นขุนนางใหญ่ของฮ่องเต้"
แม้ถ้อยคำจะไม่สุภาพและยกย่องตัวเองเกินไป แต่กลับทำให้พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงพอพระทัย จึงโปรดให้รับราชการที่กงเชอ แม้จะได้เงินเดือนน้อยและยังไม่ได้เข้าเฝ้า แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานที่จะกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
เกมแห่งปริศนา: บททดสอบไหวพริบ
วันหนึ่ง พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงจัดการแข่งขันทายของที่ซ่อนไว้ใต้ชาม หมอดูหลายคนล้วนทายผิด ตงฟางซัวก้าวออกมาพร้อมกับกล่าวอย่างมั่นใจ:
"ข้าพระองค์เคยเรียนอี้จิง ขอทาย"
เขาจัดแจงไม้เซียมซีและทำนายว่า:
"ข้าพระองค์คิดว่ามันไม่มีเขาเหมือนมังกร เรียกว่างูก็มีขา กระดืบกระดิบปีนกำแพงเก่ง ถ้าไม่ใช่จิ้งจกก็ต้องเป็นตุ๊กแก"
พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ตรัสชม "ดี" และพระราชทานผ้าไหม 10 พับ
ให้ทายของอื่นอีก ซึ่งตงฟางซัวก็ทายถูกทุกครั้ง
แต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านี้ นักร้องโปรดกั๋วเซอเหรินไม่พอใจ จึงท้าทาย:
"ซัวบ้า โชคดีทายถูกเท่านั้น ไม่ใช่ความสามารถจริง ข้าพระองค์ขอให้ซัวทายอีก ถ้าทายถูก ข้าพระองค์ยอมถูกตี 100 ที ถ้าทายผิด ข้าพระองค์ขอผ้าไหม"
กั๋วเซอเหรินเอากิ่งไม้เกาะต้นไม้มาวางให้ทาย ตงฟางซัวตอบทันที: "นี่คือพืชกาฝาก"
กั๋วเซอเหรินดีใจ คิดว่าจับผิดได้แล้ว แต่ตงฟางซัวอธิบายต่อด้วยปฏิภาณ:
"เนื้อสดทำเป็นก้อย เนื้อแห้งทำเป็นเนื้อแดดเดียว เกาะต้นไม้เรียกกาฝาก อยู่ใต้ชามเรียกพืชเกาะ"
พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จึงสั่งให้นักร้องถูกตีตามพนัน กั๋วเซอเหรินทนความเจ็บปวดไม่ไหว ร้องโอดครวญ ตงฟางซัวหัวเราะเยาะ:
"เฮ้! ปากไม่มีขน เสียงร้องทึ้งๆ ก้นยิ่งสูงขึ้น"
กั๋วเซอเหรินโกรธจัด ฟ้องว่า:
"ซัวกล้าดูถูกขุนนางของฮ่องเต้ ต้องถูกประหาร!"
เมื่อพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ตรัสถาม ตงฟางซัวก็ตอบอย่างฉลาดแกมหยอกล้อ: "ข้าพระองค์ไม่กล้าดูถูก แค่พูดปริศนาเท่านั้น ปากไม่มีขนคือช่องหมา เสียงร้องทึ้งๆ คือนกป้อนลูก ก้นสูงขึ้นคือนกกระเรียนก้มจิกอาหาร"
กั๋วเซอเหรินไม่ยอมแพ้ จึงท้าทายด้วยปริศนาที่คิดว่ายากเกินไขว่า:
"เลิง หู จู่ เล่า ป๋าย ทู่ อี อิ่ว หย่า โซว ฮง หย่า แปลว่าอะไร?"
ตงฟางซัวตอบโดยไม่ต้องคิด:
"เลิงคือคำสั่ง หูคือภาชนะ จู่คือฟันไม่เรียบ เล่าคือผู้ที่คนเคารพ ป๋ายคือลานผี ทู่คือทางเลอะ อี อิ่ว หย่าคือคำพูดยังไม่แน่นอน โซว ฮง หย่าคือหมาสองตัวกัดกัน"
ความสามารถในการแก้ปริศนาอย่างฉับไวของตงฟางซัวทำให้คนรอบข้างตะลึง พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จึงโปรดให้เป็นถ่างสือหลาง และได้รับความโปรดปรานนับแต่นั้น
บทเรียนแห่งความกล้าหาญ: เหตุการณ์ตัดเนื้อ
ในวันร้อนวันหนึ่ง มีรับสั่งพระราชทานเนื้อแก่ขุนนาง แต่หัวหน้าเจ้าหน้าที่ครัวหลวงมาช้า ตงฟางซัวไม่รอช้า ชักดาบตัดเนื้อเองแล้วบอกเสนาบดีท่านอื่นๆ:
"วันร้อนควรรีบกลับ ขอรับพระราชทาน"
เมื่อหัวหน้าครัวหลวงทูลฟ้อง พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จึงเรียกตงฟางซัวมาถาม:
"เมื่อวานพระราชทานเนื้อ ไม่รอคำสั่ง ชักดาบตัดเนื้อแล้วเอาไป ทำไม?"
ตงฟางซัวถอดหมวกขอโทษ แต่เมื่อพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ตรัสให้ "ลุกขึ้นตำหนิตัวเอง" เขากลับพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยถ้อยคำอันแยบยล:
"ซัวมาแล้ว! ซัวมาแล้ว! รับพระราชทานไม่รอคำสั่ง ช่างไร้มารยาทเสียนี่กระไร! ชักดาบตัดเนื้อ ช่างองอาจเสียนี่กระไร! ตัดไม่มาก ช่างซื่อสัตย์เสียนี่กระไร! เอากลับไปให้ภรรยา ช่างมีเมตตาเสียนี่กระไร!"
พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงขบขันตรัสว่า:
"ให้ท่านอาจารย์ตำหนิตัวเอง กลับกลายเป็นชมตัวเอง!"
แทนที่จะลงโทษ กลับพระราชทานเหล้าหนึ่งสือและเนื้อร้อยจินให้เอากลับไปให้ภรรยา
ผู้กล้าคัดค้านความฟุ่มเฟือย: เรื่องราวของสวนหลวง
ในปีที่ 3 แห่งรัชศกเจี้ยนหยวน พระเจ้าฮั่นอู่ตี้เริ่มเสด็จประพาสอย่างลับๆ ทั้งทางเหนือถึงฉือหยาง ทางตะวันตกถึงหวงซาน ทางใต้ล่าสัตว์ที่ฉางหยาง และทางตะวันออกเที่ยวอี้ชุน มักทรงดื่มเหล้าระหว่างเสด็จ
ในเดือน 8-9 ทรงนัดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นักรบ และลูกหลานตระกูลดีแคว้นหลงซีที่เก่งการขี่ม้าและยิงธนูที่ประตูวัง จนเกิดเป็นกลุ่ม "ชั้นประตูวัง" พระองค์จะเสด็จออกยามวิกาล ปลอมพระองค์เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นผิงหยาง รุ่งเช้าเสด็จเข้าป่าล่ากวาง หมู หมาป่า กระต่าย ทรงต่อสู้กับหมีด้วยพระองค์เอง
ขณะควบม้าผ่านทุ่งนาข้าว ชาวบ้านไม่รู้ว่าเป็นฮ่องเต้จึงร้องด่า รวมตัวกันบอกว่าเป็นเจ้าเมืองหู่ตู๋ เมื่อเจ้าเมืองมาขอพบ นักรบจะตีด้วยแส้ เจ้าเมืองโกรธมาก สั่งเจ้าหน้าที่ห้าม จนต้องแสดงของส่วนพระองค์จึงได้ไป
เหตุการณ์นี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าทางไกลเหนื่อยยากและรบกวนราษฎร จึงมีพระบัญชาให้อู่ชิวโซ่วหวังสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างสวนซางหลิน
ตงฟางซัวซึ่งอยู่ในที่นั้นกล้าทูลคัดค้านด้วยถ้อยคำอันคมคาย: "ข้าพระองค์ได้ยินว่าความถ่อมตน สงบนิ่ง ฟ้าตอบด้วยโชคลาภ หยิ่งยโส หรูหรา ฟ้าตอบด้วยลางร้าย บัดนี้ฝ่าบาทสร้างหอสูง กลัวไม่สูงพอ สถานที่ล่าสัตว์ กลัวไม่กว้างพอ หากฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง แผ่นดินสามฟู่ก็ทำเป็นสวนได้หมด จำเป็นต้องเมืองเมี่ยว หู่ตู๋ ด้วยหรือ!"
เขาอธิบายถึงความสำคัญของพื้นที่นี้:
"เขาทางใต้เป็นภูมิประเทศที่เข้าถึงยากที่สุดในใต้หล้า ทางใต้มีแม่น้ำเจียงและไหว ทางเหนือมีแม่น้ำเหอและเว่ย... ดินอุดมสมบูรณ์... ภูเขานี้มีหยก หิน ทอง เงิน ทองแดง เหล็ก ไม้หอม ไม้จัน ไม้เจ๋อ ของแปลกนานาชนิด นับไม่ถ้วน เป็นที่พึ่งของช่างฝีมือร้อยแขนง เป็นที่หวังของหมื่นราษฎร์..."
ตงฟางซัวยังชี้ให้เห็นผลเสียสามประการ:
"หนึ่ง การทำลายที่ดินอุดมสมบูรณ์ของราษฎร์ ทำให้เบื้องบนขาดประโยชน์แผ่นดิน เบื้องล่างแย่งอาชีพเกษตรกรรม
สอง การทำลายสุสานบรรพชนและบ้านเรือนราษฎร์ ทำให้เด็กและคนอ่อนแอคิดถึงบ้านเกิด คนชราร้องไห้เศร้าโศก
สาม การสร้างคูลึกคลองใหญ่เพื่อความสุขเพียงวันเดียว ไม่คุ้มกับอันตรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด"
เขาปิดท้ายด้วยการเตือนสติ:
"ราชวงศ์อินสร้างวังเก้าตลาด ขุนนางก็แข็งข้อ กษัตริย์หลิงสร้างตำหนักจางหัว ชาวฉู่ก็แตกกระจาย ฉินสร้างวังเอ๋อผาง ใต้หล้าก็วุ่นวาย"
แม้พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จะพอพระทัยในคำทูลและแต่งตั้งตงฟางซัวเป็น "ไท่จงต้าฟู่กี่สื่อจง" พร้อมพระราชทานทองคำร้อยจิน แต่ก็ยังทรงสร้างสวนซางหลินตามที่โซ่วหวังทูล
การปกป้องคุณธรรมในราชสำนัก: เรื่องขันทีตงเอี๋ยน
เรื่องราวความกล้าหาญทางศีลธรรมของตงฟางซัวโดดเด่นที่สุดในกรณีของขันทีตงเอี๋ยน ผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงกวานเถา (โต้วไท่จู่)
เรื่องเริ่มต้นเมื่อตงเอี๋ยน ซึ่งเดิมเป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปีที่ตามมารดามาขายไข่มุก ได้เข้าไปรับใช้องค์หญิง ด้วยรูปโฉมงดงาม องค์หญิงจึงรับอุปการะ:
"เราจะเลี้ยงเขาแทนมารดา"
องค์หญิงให้เขาเรียนทั้งหนังสือ คำนวณ ดูม้า ขี่ม้า ยิงธนู และประวัติศาสตร์ เมื่ออายุ 18 ปี ตงเอี๋ยนกลายเป็นคนโปรดขององค์หญิง "ออกไปก็จูงม้า เข้ามาก็รับใช้ภายใน" ด้วยนิสัยอ่อนโยนและการเป็นคนโปรดขององค์หญิง ทำให้ขุนนางต่างเข้ามาคบหา จนมีชื่อเสียงในเมืองว่า "ตงกวน"
หยวนซู หลานชายของหยวนอั่ง เห็นอันตรายจากสถานการณ์นี้จึงเตือนตงเอี๋ยน:
"ท่านรับใช้องค์หญิงฮั่นส่วนพระองค์ มีความผิดร้ายแรง จะอยู่อย่างไร?"
เขาแนะนำให้ตงเอี๋ยนถวายสวนฉางเหมินแก่พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ เพื่อเอาใจพระองค์ แผนนี้สำเร็จ ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยมาก จนตงเอี๋ยนมีอำนาจบารมีเพิ่มขึ้น
แต่ในวันที่พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จะทรงจัดเลี้ยงสุราให้ "โต้วไท่จู่ที่เซวียนซื่อ" และให้นำตงกวนเข้าเฝ้า ตงฟางซัวซึ่งถือหอกอยู่หน้าตำหนักได้ก้าวออกมาคัดค้านอย่างกล้าหาญ:
"ตงเอี๋ยนมีโทษประหารสามประการ จะเข้าได้อย่างไร?"
เมื่อพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ตรัสถาม ตงฟางซัวทูลชี้แจงความผิดทั้งสาม:
"หนึ่ง เอี๋ยนเป็นขุนนางส่วนพระองค์อยู่กับองค์หญิง ผิดหนึ่ง
สอง ทำลายจารีตชายหญิง ทำลายพิธีแต่งงาน ทำร้ายราชประเพณี
สาม ฝ่าบาทอยู่ในวัยหนุ่ม กำลังศึกษาคัมภีร์หกคัมภีร์ จดจ่อราชกิจ แต่เอี๋ยนกลับส่งเสริมความฟุ่มเฟือย สุดความสนุกกับสุนัขม้า นี่คือโจรใหญ่ของบ้านเมือง ตัวร้ายใหญ่ของผู้ปกครอง"
ตงฟางซัวยังทูลเตือนถึงบทเรียนในประวัติศาสตร์:
"เมื่อก่อนไป๋จีถูกเผา ขุนนางเกรงกลัว จะทำอย่างไรกับฝ่าบาท?"
เมื่อพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงลังเลตรัสว่าจะแก้ไขภายหลัง ตงฟางซัวก็ทูลต่อ:
"ไม่ได้ เซวียนซื่อคือที่ประทับปกติของบูรพกษัตริย์ หากไม่ใช่ราชการตามกฎหมายไม่อาจเข้า... ความชั่วค่อยๆ เกิด การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นการชิงราชบัลลังก์..."
ผู้กล้าคัดค้านความชั่ว: บทสรุปของตงเอี๋ยน
ตงฟางซัวยังทูลย้ำถึงบทเรียนในประวัติศาสตร์:
"จึงมีเสี่ยวเตียวเป็นชั่ว อี้หย่าก่อปัญหา ชิงฟู่ตาย แคว้นหลู่จึงสมบูรณ์ กวนไฉถูกประหาร ราชวงศ์โจวจึงสงบ"
พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงเห็นด้วย ตรัสว่า "ดี" และมีรับสั่งยกเลิกงานเลี้ยง เปลี่ยนไปจัดที่วังเหนือแทน นำตงกวนเข้าทางประตูตงซือหม่า (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นประตูตงเจียว) พระราชทานทองคำสามสิบจินแก่ตงฟางซัว
นับจากนั้น บารมีของตงกวนก็เริ่มเสื่อมลง จนกระทั่งเขาตายเมื่ออายุสามสิบปี ไม่นานหลังจากนั้น โต้วไท่จู่ก็สวรรคต ทั้งสองถูกฝังร่วมกันที่ป้าหลิง และนับจากนั้น องค์หญิงและสนมในราชสำนักก็เริ่มละเมิดขนบธรรมเนียม โดยมีตงเอี๋ยนเป็นผู้เริ่มต้น
บทเรียนสุดท้าย: การตักเตือนเรื่องความฟุ้งเฟ้อ
ในยุคนั้น ใต้หล้าฟุ้งเฟ้อจนหันเหไปจากงานหลัก ราษฎร์ส่วนมากละทิ้งไร่นา พระเจ้าฮั่นอู่ตี้จึงทรงปรึกษาตงฟางซัว:
"เราอยากเปลี่ยนนิสัยราษฎร์ มีวิธีไหม?"
ตงฟางซัวทูลตอบอย่างตรงไปตรงมา โดยเปรียบเทียบกับรัชสมัยจักรพรรดิเหวิน:
"พระองค์ทรงสูงส่งในใต้หล้า มั่งคั่งในสี่ทะเล แต่ทรงผ้าหยาบ สวมรองเท้าหนัง ใช้เข็มขัดหนังคาดดาบ เสื่อกกเป็นที่นั่ง อาวุธไม่มีคม เสื้อผ้าไม่มีลวดลาย... ใช้คุณธรรมเป็นความงาม ใช้คุณความดีเป็นมาตรฐาน ใต้หล้าจึงมองเป็นแบบอย่าง"
แต่ตงฟางซัวชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันแตกต่างออกไป:
"บัดนี้ฝ่าบาทเห็นวังกลางเล็ก วางแผนสร้างเจี้ยนจาง... เรียกว่าพันประตูหมื่นห้อง ไม้ดินสวมผ้าปัก สุนัขม้าคลุมขนสัตว์ สนมประดับเต่าทะเล ห้อยไข่มุก... ตีระฆังหมื่นซื่อ เร่งกลองฟ้าผ่า ทำละครตลก ฟ้อนรำหญิงแคว้นเจิ้ง เบื้องบนฟุ้งเฟ้อเช่นนี้ แต่อยากให้ราษฎร์ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ทิ้งการเกษตร เป็นเรื่องยาก"
เขาเสนอวิธีแก้ไขที่กล้าหาญ:
"หากฝ่าบาทใช้แผนของข้าพระองค์ซัว เผาบัญชีจี้อี้ที่สี่แยก ถอยม้าแสดงว่าไม่ใช้อีก แล้วความรุ่งเรืองของเหยาซุ่นควรเทียบได้"
มรดกแห่งปัญญาและอารมณ์ขัน
ในประวัติศาสตร์จีนอันยาวนาน มีขุนนางและนักปราชญ์มากมายที่จารึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่น้อยคนนักที่จะสร้างตำนานได้เฉกเช่นตงฟางซัว ผู้ซึ่งใช้ทั้งสติปัญญาและอารมณ์ขันเป็นอาวุธในการต่อกรกับอำนาจ
ตงฟางซัวเองก็เคยสอนลูกถึงวิธีการอยู่รอดในราชสำนักว่า:
"โซ่วหยางโง่ ลู่เซี่ยฉลาด อิ่มกินเดินสบาย ใช้การรับราชการแทนทำนา พึ่งพาหลบซ่อนเล่นโลก ผิดเวลาไม่พบ"
แม้การพูดตลกและทายปริศนาของเขาจะดูตื้นเขินสำหรับผู้ใหญ่ แต่กลับทำให้เด็กและคนเลี้ยงสัตว์ตื่นตาตื่นใจ จนทำให้คนรุ่นหลังที่ชอบเรื่องแปลกนำคำพูดประหลาดมาเชื่อมโยงกับเขา
ในยุค 9 ทางฮวงจุ้ย ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของราชวงศ์ฮั่น ตงฟางซัวได้แสดงให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจนั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรง แต่สามารถใช้ปัญญาและอารมณ์ขันเป็นดั่งกระจกสะท้อนความจริง สะท้อนให้ผู้มีอำนาจได้เห็นความผิดพลาดของตนเองโดยไม่รู้สึกถูกคุกคาม
เขาเป็นดั่งดวงประทีปที่ส่องสว่างในยามที่ราชสำนักมืดมน เป็นเสียงแห่งสามัญสำนึกในยามที่ความฟุ้งเฟ้อครอบงำ และเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมในยามที่ศีลธรรมกำลังจะล่มสลาย ตงฟางซัวได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในยามที่อำนาจเบ่งบาน ความกล้าหาญทางจริยธรรมก็ยังมีที่ยืนได้หากรู้จักใช้ปัญญาและไหวพริบ
มรดกที่เขาทิ้งไว้ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าขบขัน แต่เป็นบทเรียนล้ำค่าที่สอนให้เรารู้ว่า การต่อสู้เพื่อความถูกต้องนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง เพียงแต่ต้องมีปัญญาที่เฉียบคม วาทศิลป์ที่แหลมคม และหัวใจที่กล้าหาญ
ตงฟางซัวจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้อารมณ์ขันและไหวพริบในการดำเนินชีวิต เขาแสดงให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจนั้นไม่จำเป็นต้องทำอย่างดุดัน แต่สามารถใช้อารมณ์ขันและปัญญาเพื่อสื่อสารความจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชีวิตของเขาในยุค 9 ทางฮวงจุ้ยจึงเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ยังคงทันสมัยจนถึงปัจจุบัน
Comentários