พระราหู หนึ่งในเทวดานพเคราะห์ เป็นอสูร (แทตย์ หรือทานวะ)
เป็นเทวดาลำดับที่ 8 เกิดจากการที่ “พระอิศวร” ทรงนำหัวผีโขมด 12 หัว มาป่นลงเข้าด้วยกัน แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต จึงบังเกิดเป็นพระราหู ขึ้นมา สีกายเป็นทองสัมฤทธิ์ วิมานสีนิล ทรงครุฑเป็นพาหนะ
ในวรรณคดีเรื่องเฉลิมไตรภพได้กล่าวถึงการสร้างพระราหูของพระอิศวรในเรื่องเดียวกันนี้ว่า
แล้วสุวกำเลือกสรร หัวโขมดอัน ที่ร้ายรองสิบสองหัว แกล้วกล้าสั่งมาไม่กลัว ครบสิบสองหัว ถวายสี่องค์ทรงธรรม์ อ่านเวทย์วิเศษสรรพสรรพ์ ระคนปนกัน ห่อนั้นผ้าดำดำดี ประน้ำอทฤตพิธี เป็นเทวสุรี มีกายสูงล่ำดำนิล ประทานนามว่าอสุรินทร์ ราหูเทวินทร์ ที่แปดพระเคราะห์เจาะจง
ที่มาของ พระราหู ต่อจากนี้ อาจจะยาวมากประมาณนึง หลายท่านอาจจะอ่านจนเพลีย แต่ยอมรับว่า ถ้าจะเขียนบทความนี้ผมตั้งใจจะเขียนให้ครบถ้วนให้เข้าใจมากที่สุดครับ
เพื่อที่ว่า เวลาท่านไหว้พระราหู ท่านจะได้มีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า พระราหู ท่านเป็นอย่างไรมาก่อน
เวลากราบไหว้ขอพร จะได้ไม่ได้ไหว้เพียงเพราะงมงาย และไหว้ๆตามๆกันไป แล้วก็รอรับผลได้บ้างไม่ได้บ้าง มีทั้งไหว้ถูกไหว้ผิด เพราะเชื่อๆตามกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมหากินกับเทพ เทวดาไปซะงั้น แล้วก็ไม่ได้ศึกษากันจริงจัง
ข้อดีของการไหว้หลังจากที่รู้ประวัติคร่าวๆคือ
เวลาท่านไหว้ ท่านจะเข้าสู่จิตของพระราหูได้เต็มกำลัง
ท่านที่ไหว้ด้วยจิตกุศล รำลึกคุณงามความดี ของท่านได้เต็มกำลัง บารมีทาน และกุศลที่ท่านระลึกถึงพระราหูจะยิ่งแรง เข้มข้น และส่งผลให้การขอพรใดๆต่อพระราหู ย่อมส่งผลดี และเห็นผล มากกว่าปกติ
เอาละครับ พร้อมแล้วนะ ไปอ่านกันได้เลย
ราหู มีในหลายตำนาน
หนึ่งในตำนานพระราหู กล่าวไว้ว่า
ในสมัยโบราณกาล กล่าวว่าเดิมพวก อสูร (แทตย์ หรือทานวะ)(อ้างอิง 1) ก็เป็นฝ่ายที่มีธรรมะไม่ต่างจากเทวดา แต่พอโดนบูลลี่เรื่องหน้าตา และนิสัยจากฝ่ายเทวดาบ่อยๆ แต่มาเมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์มากๆ ความมีพื้นฐานจากนิสัยอสูร ความแค้นก็บังเกิดจึงเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ายอธรรม คอยรังแกและรังควานเทวดาเพื่อเอาคืนในภายหลัง (ในตำนานเทพเทวดาไม่ได้ดีแบบพุทธะนะครับ ต้องแยกก่อน)
หลังจากนั้นเทพกับอสูรมักจะสู้รบกันเสมอๆ ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนเหล่าเทพตายลงเป็นจำนวนมาก พวกเทพจึงมาขอให้พระนารายณ์ช่วย ท่านจึงให้ทำการกวนเกษียรสมุทรเพื่อจะได้มีน้ำอมฤตมาให้พวกเทพได้ดื่มและจะได้มีชีวิตเป็นอมตะ แต่การกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นงานใหญ่ ต้องให้พวกอสูรร่วมมือด้วย จึงมีการเจรจาพักรบกันชั่วคราว โดยฝ่ายเทพบอกว่าจะให้พวกอสูรได้ดื่มน้ำอมฤตด้วย
การกวนเกษียรสมุทรนี้ต้องใช้พระยาอนันตนาคราช ซึ่งเป็นพญานาค มาพันรอบยอดเขาพระสุเมรุ แล้วก็ให้เหล่าเทพดึงทางหนึ่ง อสูรดึงอีกทางหนึ่ง ฝ่ายเทพก็ให้พวกยักษ์ไปดึงพญานาคทางด้านหัว เพราะรู้ว่าพญานาคจะมีการคายพิษออกมาเรื่อยๆ พวกอสูรจะได้โดนพิษจากปากของพระยาอนันตนาคราช(เพราะอยู่ใกล้) ซึ่งฝ่ายอสูรก็ต้องทนไป ทำอะไรไม่ได้
การกวนเกษียรสมุทรนี้ ความสั่นสะเทือนอาจจะทำให้โลกมนุษย์พังทลายได้ พระนารายณ์จึงต้องแบ่งภาคอวตารไปเป็นเต่ายักษ์ เพื่อเอากระดองไปรองรับยอดเขาพระสุเมรุไว้ เพื่อไม่ให้โลกมนุษย์พัง
ฝ่ายเทพและอสูร ใช้เวลากวนเกษียรสมุทรกันเป็นพันๆปี เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้นมากมาย คือมีของวิเศษต่างๆ เกิดจาก เกษียรสมุทรขึ้นมามากมาย
สิ่งแรกคือ พระลักษมี ซึ่งกลายเป็นชายาของพระวิษณุ อย่าลืมด้วยว่า พระลักษมี หรือ พระศรี เป็น เทพีแห่งโชคลาภและความเป็นมงคล
ถัดจากนั้นเหล่า นางอัปสร ก็ผุดขึ้น
โคสุรภี อันเป็น โคแห่งความอุดมสมบูรณ์ ก็ผุดขึ้น
ตามมาด้วย ม้าขาว ที่มีพละกำลังมหาศาล
ดวงจันทร์ ให้แสงสว่างยามค่ำคืน ความอุดมสมบูรณ์
ดวงมณี ซึ่งประดับพระอุระของพระวิษณุ
ต้นปาริชาติ ที่อาจ ประทานพรแก่ผู้ขอได้
ทั้งนี้แต่ก็ไม่ได้มีแต่สิ่งดีเพียงด้านเดียวที่ผุดขึ้นจากความปั่นป่วนวุ่นวายนี้ ไอพิษก็กรุ่นขึ้นมาด้วย
พระศิวะ จึงกลืนไอพิษเหล่านี้ไว้เองเพื่อปกป้องจักรวาล มิให้ถูกทำลาย นั่นจึงทำให้พระศิวะเป็นเทพที่มี พระศอสีดำ (นีลกัณฐ์)
สิ่งสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาคือ หมอของเทวดา ซึ่งถือภาชนะบรรจุน้ำอมฤต
ครั้นช่วงที่พอเกิด นางอัปสรสวรรค์ ต่างๆ ก็ออกมาด้วย เหล่าอสูรก็ตื่นตาตื่นใจ หลงไหลไม่วางสายตา เห็นดังนั้น พระวิษณุจึงแปลงตัวเป็นสาวสวยชื่อ นางโมหิณี มายั่วยวนให้พวกอสูรหลงใหลลืมตัว แล้วก็จัดแบ่งน้ำอมฤตแจกจ่ายแก่เหล่าเทวดาได้ดื่มกันทั่ว
เหล่าเทพจึงถือโอกาสที่อสูรกำลังสนใจนางงามเหล่านั้น แบ่งสรรปันส่วนน้ำอมฤกตกันเองก่อน โดยไม่คิดแบ่งให้พวกอสูรตามที่ได้ตกลงกันไว้ (ฝ่ายอสูรคงร้องเพลง... อ้าว เฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ออกมาดังๆกันแน่ๆ)
ทางฝ่ายอสูรนั้นมีเพียง ราหู ตนเดียวที่ไม่สนใจนางอัปสร และความฉลาดรู้กลของ นางโมหิณี ราหูจึงได้แปลงร่างเป็นเทพ เข้ามาดื่มน้ำอมฤต แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ซึ่งเห็นว่าราหูปลอมตัวมาเป็นเทพ จึงได้ไปฟ้องพระนารายณ์
ราหู จึงถูกพระนารายณ์ตัดร่างกายออกเป็นสองท่อนด้วยจักร แต่เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว ซึ่งทำให้เป็นอมตะ พระราหู จึงไม่ตาย หากเหลือร่างกายเพียงครึ่งท่อนเท่านั้น (อ้าวว... แล้วเหตุใดพระวิษณุไม่โดนบ้าง ปลอมเหมือนกัน เริ่มงงในตรรกะ ฮ่าาา)
เมื่อโดนตัดขาดสองท่อน โดยท่อนบน เป็น พระราหู มีรูปร่างเป็น อสูร
ส่วนท่อนล่าง หลุดไปเป็น พระเกตุ ซึ่งถือเป็น ดาวนพเคราะห์ลำดับที่ 9 นั่นเอง
(มีตำนานนึงกล่าวว่า ตอนที่จักรไปตัดราหูเป็นสองท่อนนั้น จักรได้ตกลงไปตัดโดนหางของนาคตนนึงด้วย ราหูควานหาท่อนล่างตนไม่เจอ จึงหยิบเอาหางนาคตนนั้นมาใส่แทน ทำให้ราหูมีท่อนล่างเหมือนงูใหญ่ หรือนาค นั่นเอง)
ราหูขึ้นชื่อว่าเป็น อสูร มีความโมโห และเคียดแค้นฝังใจเป็นกิเลสตัวหลักที่ฝังแน่น จึงโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก และจะจับกินทุกครั้งที่เจอกัน เกิดเป็นตำนานราหูอมจันทร์ ราหูอมพระอาทิตย์นั่นเอง แล้วคนโบราณก็จับเอาตำนานนี้มาสัมพันธ์กับการเกิดสุริยคราส และจันทรคราส (ซึ่งต้องแยกกันให้ออกนะครับ ระหว่างดาราศาสตร์ โดยหลักวิทยาศาสตร์ กับการนำเอาตำนานมาใส่เข้าไป)
(ตำนาน เป็นได้ทั้งเรื่องเล่า หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงๆที่เกินกว่ามนุษย์ในยุควิทยาศาสตร์จะเข้าใจ และเข้าถึง)
ภายหลังพระราหูด้วยเป็นอสูรที่มีพละกำลังมหาศาล และตัวใหญ่กว่าเทพทั้งหลาย จึงมักถูกเรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่เป็นอสูร จึงมีความฉลาด แยบยล รู้กลทันอสูรร้าย เวลามีอสูรร้ายออกอาละวาด เดิมส่งเทพเทวดาลงไปปราบก็สู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะสู้ไม่ได้
(ลองนึกถึงว่า เหมือนเอาตำรวจถือกฏหมายไปปราบเสือใหญ่โจรป่าห้าร้อย มีหรือตำรวจจะจับได้ง่ายๆ สู้กลอุบายโจรร้อยแปดพันเก้าไม่ไหว ลักษณะนี้จึงเป็นเรื่อง เอาโจรมาจับโจรนั่นเอง)
ดังนั้นพระนารายณ์ จึงแต่งตั้ง ราหู เป็นเทพอีกองค์นึงที่คอยช่วยเหลือโลกมนุษย์และเทพ ให้ไปปราบอสูรที่ชั่วร้าย
ด้วยราหูเองนั้น ก็ไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายเสียทีเดียว เพียงแต่ชาติกำเนิดเป็นอสูร จึงอาจจะมีสัญชาติญาณของอสูรติดมา จึงเข้าใจอสูรด้วยกันได้อย่างดี และมีเทคนิคในการรับมือกับความชั่วร้ายเหล่านั้นได้อย่างอยู่หมัด ด้วนวิธีการของราหูนั่นเอง
ดังนั้น พระราหู จึงแบ่งเป็นสองภาค
ภาคแรกคือ ช่วงที่ยังไม่กลับใจ มักจะมีรูปร่างสีนิล ดำ ยังคงนิยมทำตามสัญชาตญาณ รัก โลภ โกรธ หลงไหล สุขนิยม ทำตัวเสเพล กินดื่ม สนุกสนาน โมโหง่าย โกรธ แค้น ฝังใจ
ภาคที่สองคือ ช่วงที่กลับตัวกลับใจอยู่ฝ่ายเทพ จะมีองค์กายสีทองสำริด (สีทองเหลือง+ทองแดง+ดีบุก) ซึ่งพระนารายณ์นิรมานกายใหม่หลังจากที่พระราหู ได้สร้างความดีความชอบปราบอสูรร้าย ไม้ให้เป็นภัยต่อมนุษย์และเทพอีกต่อไป
มาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะบอกว่า
อ้าว นิรมานกายได้ขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ต่อกายพระราหูให้ครบถ้วนเหมือนเดิมไปเลย
ขออธิบาย อย่างนี้ครับ
กงจักรของพระนารายณ์ เนี่ยไม่ใช่ กงจักรธรรมดา
คือ ถ้าตัดสิ่งใดขาดแล้ว จะขาดสะบั้น ไม่สามารถมาเชื่อมต่อได้อีกเลย เหมือนต้องคำสาปไปด้วย ซึ่งตรงนี้พระนารายณ์เองก็แก้ไขกฏข้อนี้ไม่ได้ครับ
*เข้าใจละนะครับ*
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
คุณเป็นคนที่ตั้งใจอ่านจริงๆ และพยายามทำความเข้าใจกับตำนานพระราหูพอสมควร
จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตำนานครับ แต่ผมพิจารณาแล้ว ตำนานนี้ก็มีความสนุก ปนความเศร้า (ที่ทำไมอสูรโดนบูลลี่ตลอดเลย ฮือๆๆ) เล่าเป็นเรื่องราวแล้วก็แฝงด้วยแง่คิดมากมาย
อีกตำนานคือ ราหู ในพระพุทธศาสนา อันนี้ผมก็ชอบ แต่ขอยกเว้นในบทความนี้แล้วกัน ไม่งั้นยาวเกินไป
(ไปลองค้นหาอ่านกันได้ครับ)
กลับมาที่ หัวข้อสำคัญก่อน
"ไหว้ราหู... ยังไงให้ปัง! ไหว้แล้วเห็นผล ไหว้แบบไม่งมงาย"
ถ้าท่านอ่านมาถึงตรงนี้นะ จะเห็นได้ว่า
องค์เทพราหู ก็ถือเป็นเทพที่มีคุณงามความดีสูงมาก ช่วยโลกและสวรรค์มากมาย บารมีสูงส่ง อีกทั้งมีฤทธิ์สูงมาก ความเป็นแฑตย์ อสูรมาแต่ชาติกำเนิด ทำให้มีกลอุบายแยบยล มีทักษะการวางแผนที่ชาญฉลาด เอาตัวรอดเก่ง ไม่จนมุมง่ายๆ ชอบคบค้าสมาคมกับคนหลากหลาย หลงไหล หมกมุ่น จริงจิง กับสิ่งต่างๆรอบตัวได้ง่าย หาผลประโยชน์เก่ง จึงเป็นเทพที่บันดาลทรัพย์ และโชคให้กับคนได้
ภายหลังที่ได้มาทำงานรับหน้าที่เป็นเทพดาวนพเคราะห์ก็ได้อาศัยความฉลาดนี้แหล่ะ สร้างคุณงามความดีด้วยกลอุบายต่างๆนาๆ ก็ช่วยให้งานสำเร็จได้ง่ายขึ้น (เพราะมักใช้วิธีการที่พลิกแพลงแบบที่เทพปกติเค้าไม่ใช้กัน)
ดังนั้น
ท่านที่ไหว้ราหู ถ้าอยากร่ำรวย ประสบความสำเร็จจะต้องยึดตามแบบองค์ราหูดังนี้
ฝึกฝนความฉลาดรอบด้านอยู่เสมอ (ไม่ติดกรอบเดิมๆ กล้าคิดกล้าลอง)
บริหารคนแบบเข้าใจทั้งด้านดี ด้านร้าย และเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะฝั่งที่ร้ายว่าเกิดจากต้นตออะไร
ห้ามบูลลี่รูปร่างหน้าตา หรืออะไรก็ตามผู้อื่น (แม้จะเล่นๆก็ตาม)
ให้โอกาสผู้อื่น แม้ว่าหน้าตา รูปร่างไม่น่าพิสมัย แต่อาจจะมีความสามารถ (เหมือนดังที่ องค์ราหู ได้รับโอกาสจากอสูร มาเป็นเทพ)
ฝึกฝนการเข้าถึงผู้คนทั่วทุกทิศ (ราหูท่านมีความโดดเด่นเรื่องนี้ คุยกับนักวิชาการก็รู้เรื่อง คุยกับชาวบ้านก็เข้าใจ คุยกับหัวหน้า ผู้บริการระดับสูงก็เป็นงาน คุยกับพนักงานระดับล่างก็เข้าถึง คุยกับหัวหน้าโจรก็ยิ่งถูกคอ คุยกับลิ่วล้อ อันธพาล กุ้ย ก็ยังได้รับความนิยม นี่คือ ทักษะพิเศษของ ราหู ที่เทพองค์อื่นทำไม่ได้)
ไม่มีข้ออ้างเรื่องความไม่พร้อม ไม่กลัวความลำบาก ราหู แม้ถูกตัดครึ่งท่อน เหลือตัวอยู่ซีกเดียว แต่ท่านก็ยังมีฤทธิ์และกำลังมหาศาล ดังนั้น ตราบใดที่คุณยังมีร่างกายมากกว่าครึ่งท่อนขึ้นไป ก็ไม่ควรย้อท้อทั้งสิ้น
ความไม่หลงไหล มีสติ จึงเกิดปัญญาแห่งความสำเร็จ อย่าลืมว่า ตอนที่องค์ราหู ไม่หลงไหลนางอัปสร นั่นแหล่ะ จึงมีสติไม่โดนหลอก และเป็นจังหวะที่ท่านได้ดื่มน้ำอมฤต ซึ่งเป็นน้ำวิเศษ ดังนั้นท่านจะบอกว่า เมื่อใดที่ความเป็นอสูรในตัวเราเต็มที่ 100% ขาดการยั้งยั้งชั่งใจ ความหลงไหล จะทำให้ขาดปัญญา และพลาดโอกาสอันดีที่สุดไป ดังนั้น จุดนี้ หากมองเป็นธรรมะคือ อย่าดื่มจนเมา ขาดสติ นั่นเอง ใครที่บอกว่า เมาตามราหู นั่น ไม่ควรครับ
เน้นเป้าหมาย ไม่เน้นวิธีการ นำเอาความรู้ความสามารถ ความฉลาด กลอุบายต่างๆ ทั้งถูกหลักการ ทั้งพิสดารเหนือความคาดหมาย มาทำให้งานประสบความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ควรทำ หากว่างานนั้นเป็นงานที่ดี และไม่ส่งผลเดือดร้อนใคร แม้แต่ตัวเองด้วยก็ตาม
ทำบุญมากๆ ถือศีลบ่อยๆ เพิ่มบารมีให้ท่าน องค์พระราหูท่านตั้งใจถือศีล และอนาคตการณ์คือ พระพุทธเจ้าพระองค์นึงในอนาคตกาล ดังนั้น หากเราต้องการเชื่อมโยง ส่งเสริมก็ควร ศึกษาธรรมะให้มาก ฝึกฝนตั้งใจ ถือศีลบ่อยๆ อุทิศเป็นกำลังบุญบารมี ให้ท่านร่วมอนุโมทนาจะยิ่งดี
สร้างกุศล ให้มากๆ กลอุบายต่างๆ ทั้งด้านขาว เทา ดำ บางครั้งหากมีความจำเป็นต้องงัดวิชาโจร มาใช้ปราบโจร ก็ควรทำ ยึดตามเจตนาไว้ก่อนว่า เราทำเพื่อส่วนร่วม เราทำเพื่อคนอื่น โดยไม่มีอคติ เอาความคิดนอกลู่นอกทาง ความคิดที่มีเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ มาใช้ด้านกุศล ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนมากมาย
ทำมาก ได้ผลมาก ทำได้น้อยได้ผลน้อย ขอเรื่องใหญ่ทำให้มากกว่าปกติเยอะจะดี
การตั้งโต๊ะไหว้รับพระราหูย้าย ในปี 2566 นี้
ราหูย้ายจากราศีเมษ ไปราศีมีน ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
(ปล. ถ้าผนวกฮวงจุ้ยดาวเหิน คือ ดาวเบญภูติ ประจำปีไปสถิตย์พอดี ดังนั้น คำแนะนำผมคือ หันหน้าไปไหว้ได้ แต่ห้ามเคาะตอกเจาะเป็นอันขาด โดยเฉพาะจุดประทัดในทิศนี้ ห้ามเด็ดขาด!!!)
หันโต๊ะไหว้ไป ตะวันตกเฉียงเหนือ
ของไหว้ ที่เหมาะกับองค์ราหู ราหูท่านคือ อสูร ดังนั้น อาหารรสจัด แซ่บๆ ถึงรสชาด รวมไปถึงของหมัก ดอง ยำ ต้องมีจัดเต็ม
เหล้าขาดไม่ได้ ต้องมี
ของหวาน พวกกับแกล้มกินกับเหล้า ได้ เช่น ถั่วทอด อะไรก็ว่าไป
ไม่จำเป็นต้องเป็นของดำ ก็ได้ครับ
โปรยทองคำเปลว ลงบนอาหารและของไหว้ ด้วยครับ (กายท่านสีทองสำริด)
ใส่ภาชนะสีทองแดง ทองเหลือง หรือปูผ้าสีทองแดง ดำ ได้เลย
ธูป 12 ดอก (กำลังพระราหู) เทียน 1 คู่
ดอกไม้ บายศรี ตามสมควร
ขั้นตอนการไหว้ราหู
จุดธูป จุดเทียน
เมื่อพร้อมแล้วกล่าวดังนี้
ข้าพเจ้าอธิษฐาน ขอให้เครื่องสักการะเหล่านี้จงเป็นทิพย์ เพื่อถวาย แก่พระราหู และบริวารของท่าน อันเป็นเครื่องแสดงการสักการะบูชาของข้าพเจ้า
สวดบทสวดพระราหู (ตามบทสวดด้านล่าง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมรำลึกพระคุณ พระบารมีแห่งองค์พระราหู (ตอนนี้ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณงานความดีท่านเข้าไว้ เมื่อระลึกถึงท่านได้เต็มที่แล้ว กล่าวต่อ) (ระลึกถึงภาพท่านด้านล่างนี้ก็ได้ครับ ผมเลือกที่องค์สวยสง่างามมาให้แล้ว จะได้เป็นภาพที่สรรเสริญท่านไปในตัว)
จบพิธี
บทสวดไหว้พระราหู
(ตั้งนะโม 3 จบ)
บทสวดบูชาพระราหู
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะกินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ
-------------------------------------------------------------
คำถวายเครื่องสังเวยพระราหู
นะโมเม พระราหูเทวานัง ธูปะทีปะ จะปุปผัง สักการะวันทะนัง สูปะพะยัญชะนะ สัมปันนัง โภชะ นานัง สาลีนัง สะปะริวารัง อุทะกังวะรัง อาคัจฉันตุ ปะริภุญชันตุ สัพพะทา หิตายะ สุขายะ พระราหูเทวา มะหิทธิกา เตปิ อัมเห อะนุรัก ขันตุ อาโรคะ เยนะ สุเขมะจะฯ
-------------------------------------------------------------
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 1
อิติปิโส ภะคะวา พระราหูจะมัสมิง
จะ พุทธะคุณัง จะ ธัมมะคุณัง จะ สังฆะคุณัง
สัพพะทุกขัง สัพพะภะยัง สัพพะโรคัง วิวัชชะเย
สัพพะลาภัง ภะวันตุเม
-------------------------------------------------------------
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 2
โอม เอกะจักขุ นาริเกลา สุริยะจันทระ ประภา
ราหูคาหาสัตตะระตะนะ สัมปันโนมณีโชติ
ระโส ยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหังวันทามิ เมสะทาฯ
-------------------------------------------------------------
บทสวดบูชาพระราหู แบบที่ 3
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ
โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติ
ยัตถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง
มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ
กาเสกัง กาติยังมะมะ ยะติกา
-------------------------------------------------------------
บูชาพระราหู ด้วย คาถานารายณ์ถอดจักร คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ สวดตามกำลังเทพพระราหู คือ 12 จบ (บทสวดนี้ได้มาจากบทสรรเสริญพระพุทธคุณ เรียกว่า พระคาถาอิติปิโสแปดทิศ)
-------------------------------------------------------------
ขออำนาจบารมีพระอสุรเทพบรมโพธิสัตว์เสด็จพ่อพระราหู จงมาโปรดแก่ลูกด้วย
ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล) ขอบูชาพระราหู ขอให้อิทธิพลของดาวราหูจงส่งผลดีแก่ดวงชะตาของข้าพเจ้า ขอให้ได้พบเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดี ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคร้ายใด ๆ ขอให้เกิดความสุขในครอบครัว ขอให้ดาวราหูประทานพรโชคลาภและความสำเร็จแก่ข้าพเจ้า (อธิฐานเรื่องอื่น ๆ ที่ปรารถนา)
ฤกษ์ไหว้พระราหู
กรณีสำหรับราหูย้าย ในวันที่ 17 ตุลาคม 2566 นี้
วันที่ควรไหว้ ไม่ใช่วันที่ ราหูย้ายเสมอไปนะครับ
แท้จริงแล้วเราไหว้ได้ตลอดทุกวันพุธกลางคืน
(วันพุธ หลัง 18:00 น. หรือพระอาทิตย์เริ่มตกดินก็ไหว้ได้เลย)
ดังนั้น สำหรับ การไหว้รับราหูย้ายในปี 2566 ในครั้งนี้
ผมแนะนำให้ไหว้ คืนวันพุธ ที่ 18 ตุลาคม 2566 เวลา 18:00 น. เป็นต้นไป
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงส่วนท้ายนี้
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์อย่างมากนะครับ
ผมก็หวังว่า ทุกคนจะได้รับความรู้ และเทคนิคการไหว้พระราหู แบบไม่งมงายเกินไป ใครเป็นลูกศิษย์ผมจะรู้ว่าผมจะไม่พาไหว้พระแบบไร้ความรู้ ขาดความศรัทธาเด็ดขาด
และทุกสิ่งที่เราขอพร เราต้องลงมือทำครับ ไม่ใช่ขออย่างเดียวแล้วรอรับผล และสิ่งที่ขอ ความเกิดประโยชน์ทั้งตัวเราและผู้อื่นด้วยครับ ยิ่งงานไหนเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นมากมาย สิ่งนั้นยิ่งจะมีพลังให้สำเร็จอย่างมากๆเลยครับ
หากบทความนี้มีประโยชน์สอนให้คนไหว้ราหูให้ถูกทาง ฝากส่งต่อเพื่อนของคุณด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้คนเรียบเรียงบทความนี้ครับ
ปล. วรรณกรรมนี้ถูกถ่ายทอดมาเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนในบริเวณสุวรรณภูมิที่เชื่อว่าจันทรุปราคาและสุริยุปราคาเกิดจากราหูอมพระจันทร์และพระอาทิตย์เอาไว้ ความเชื่อในวรรณกรรมนี้ปรากฏให้เห็นได้เช่น บนผนังกำแพงคตของนครวัดและประติมากรรมชั้นขาออกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ปล.ตำนานจากวรรณกรรมมหาภารตยุทธและในภควัตปุราณะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยข้าพเจ้าเจ๋อหลาง
ผู้ย่นระยะทาง...ความสำเร็จ!!!! ให้กับคุณ
ไม่อนุญาติให้ทำซ้ำบทความ แต่อนุญาตให้แชร์ได้ครับ
อ้างอิง 1
“อสูร” หรือ อสูระ (असुर - ASURA) ตามคัมภีร์พระเวทกล่าวว่าเป็นผู้ครอบครองสวรรค์พวกแรก โดยถือกำเนิดมาจากพระกัศยปประชาบดีหรือพระกัศยปเทพบิดร โดยยังแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 กลุ่ม ตามมารดาผู้ให้กำเนิด ดังนี้
แทตย์ หรือไทตยะ (दैत्य - DAITYA) เป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายจากพระกัศยปประชาบดีและนางทิติ โดยเป็นกลุ่มที่มีร่างกายใหญ่โต มีลักษณะหน้าตาเหมือนกับเทวดา ทั้งยังมีฤทธิ์เดชไม่ด้อยไปกว่ากันด้วย
ทานพ หรือทานวะ (दानव - DANAVA) เป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากพระกัศยปประชาบดีกับนางทนุ มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มแทตย์อย่างแยกกันไม่ออก ทั้งรูปร่างและลักษณะนิสัย กลุ่มนี้มักเข้าร่วมกับพวกแทตย์ทำสงครามกับพวกเทวดามาโดยตลอด
นักวิชาการ มีทั้งจัดราหูให้ในกลุ่ม แทตย์ หรือ ทานวะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากต้นฉบับดังนี้
Comments